Container Icon

การปลูกลูกไหน

การปลูกลูกไหน เชอรี่ดอย

  ลูกไหน ลูกพลัม เชอรี่ดอย ลูกพรุน สรรพคุณและประโยชน์ของลูกพรุน 20 ข้อ 

      ท่านใดที่เคยไปเที่ยวแถวชายแดนแม่สาย เชียงราย ก็คงได้เห็น ได้ชิม ผลไม้พื้นเมืองที่แม่ค้าชาวบ้านนำมาวางขายริมฟุตบาท มีสีดำ และสีแดงราคา 20-30 บาท/กิโลกรัม แต่หาดูราคาขึ้นห้างสรรพสินค้าแล้วราคาเกือบ 300 บาทเลยที่เดียว  และบางท่านเคยชิมรสชาดกันมาบ้าง.. หรือหลายคนที่เดียวที่เคยกินน้ำลูกพรุนขวดลิตรราคาแพง ๆ เคยนึกถามในใจแล้วไหมว่าต้นมันเป็นอย่างไร มาจากไหน ปลูกอย่างไร ดีอย่างไร น่าศึกษาเรียนรู้ หรือปลูกแน่นอนครับ..รูปพลัม

ลูกไหน ลูกพลัม เชอรี่ดอย
           ไหน หรือ พลัม ภาษาอังกฤษ Plum พลัม ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus domestica L. จัดอยู่ในวงศ์กุหลาบ (Rosaceae) ในตระกูลพรุน เช่นเดียวกันกับ ลูกท้อ บ๊วย เชอร์รี่ อัลมอนด์ และนางพญาเสือโคร่ง และมีถิ่นกำเนิดจากบริเวณคอเคซัสในเอเชียตะวันตก[3]
โดยทั่วไปแล้วเราจะเรียกว่าผลไม้ชนิดนี้ว่า “พลัม” หรือ “ลูกพลัม” (ทับศัพท์) แต่สำหรับคนจะเรียกว่า “ไหน” หรือ “ลูกไหน” ซึ่งเป็นชื่อไทย ส่วนลูกพลัมแห้งเราจะเรียกว่า “พรุน” หรือ “ลูกพรุน” ซึ่งอาจเรียกตามชื่อสกุล (Prunus) หรือตามชื่อวิทยาศาสตร์ (Prunus domestica L.)[3]
พลัมมีอยู่ด้วยหลากหลายสายพันธุ์ โดยมี 3 ชนิดที่สำคัญได้แก่ Prunus domestica, Prunus salicina และ Prunus americana พลัมหลายๆ ชนิดจะผสมตัวเองได้ไม่ดี จำเป็นต้องมีการปลูกร่วมกันหลายๆ สายพันธุ์เพื่อช่วยในการผสมเกสร เพราะจะทำให้เกิดการติดผลที่ดีขึ้น สำหรับสายพันธุ์ที่ปลูกได้ดีในประเทศก็มีอยู่หลายสายพันธุ์เช่นกัน โดยเฉพาะพลัมสายพันธุ์ญี่ปุ่น[1],[3] เช่น
  • พันธุ์กัลฟ์รูบี้ ผลเป็นรูปหัวใจมีขนาดใหญ่ เมื่อสุกเต็มที่จะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเกือบดำ เนื้อในผลมีสีเหลือง รสหวานฉ่ำ[1]
  • พันธุ์กัลฟ์โกล สายพันธุ์จากฟลอริดา ผลมีขนาดใหญ่เท่ากับพันธุ์กัลฟ์โกล ผลเมื่อแก่จัดจะมีสีเหลืองและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอมเหลืองเมื่อสุก เนื้อในผลมีสีเหลือง รสชาติดี มีกลิ่นหอม[1]
  • พันธุ์แดงบ้านหลวง หรือพันธุ์บ้านหลวงแดง สายพันธุ์จากไต้หวัน ผลมีลักษณะค่อนข้างกลม ที่ผลมีร่องลึกเห็นได้ชัด ผิวของผลมีสีแดง และมีจุดประอยู่บริเวณผิวผล ผลอ่อนเนื้อแข็งมีรสเปรี้ยว ส่วนผลสุกเนื้อจะนิ่มและมีรสหวาน โดยสายพันธุ์นี้จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีเนื้อสีแดง และชนิดที่มีเนื้อสีเหลือง[1]
  • พันธุ์เหลืองอินเดีย สายพันธุ์จากอินเดีย ออกดอกติดผลดก ผลแก่เป็นสีเหลือง เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง เนื้อในผลมีสีเหลือง พันธุ์นี้ไม่นิยมนำมารับประทานสด แต่จะนิยมนำไปแปรรูปในลักษณะแช่อิ่มหรือดองมากกว่า[1]
  • พันธุ์แดงอินเดีย สายพันธุ์นี้นำเข้าจากอินเดียเช่นกัน ผลจะมีขนาดเล็ก มักนิยมปลูกไว้เพื่อใช้เป็นคู่ผสม[1]
  • พันธุ์จูหลี่ สายพันธุ์จากไต้หวัน ลักษณะของผลคล้ายกับสายพันธุ์แดงบ้านหลวง แต่ผลจะมีขนาดเล็กกว่า นิยมปลูกไว้เพื่อใช้เป็นคู่ผสม และใช้ผลแปรรูปเป็นพลัม และนำมาแช่อิ่มได้ดี[1]
ลักษณะของต้นพลัม
  • ต้นพลัม พลัมเป็นไม้ผลยืนต้น มีลักษณะทรงต้นค่อนข้างเล็กเช่นเดียวกับต้นพีช การปลูกในประเทศไทยต้องปลูกในที่ที่มีความหนาวเย็น และพื้นที่ที่ปลูกจะต้องมีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป แต่สำหรับบางสายพันธุ์อาจปลูกได้ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป[2]
ต้นพลัม
  • ใบพลัม ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก ปลายและโคนใบแหลม แผ่นใบสีเขียว ขอบใบเป็นจักคล้ายฟันเลื่อยแบบถี่ๆ
ใบพลัม
  • ดอกพลัม ออกดอกจำนวนมาก ดอกมีขนาดเล็กและมีสีขาว ดอกเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ปกติแล้วจะผสมตัวเองไม่ได้ แต่จะต้องผสมข้ามพันธุ์และเฉพาะเจาะจงพันธุ์เท่านั้น และจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธุ์ หลังจากได้รับความหนาวเพียงพอ[2]
ดอกต้นพลัม 

ดอกพลัม
  • ลูกพลัม ผลเป็นแบบ Drupe จึงจัดเป็นพวก Stone Fruit คือมีส่วนของ Endocarp ที่แข็งเหมือนกับลูกพืชและบ๊วย และผลจะมีความหลากหลายทั้งในเรื่องของขนาด สีของผล และเนื้อของผล ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่เพาะปลูก บางพันธุ์ผลอาจมีร่องยาวด้านข้าง เมื่อผลโตเต็มที่จะมีสีนวลสีขาวปกคลุมอยู่ ซึ่งเราเรียกว่าสารเคลือบ หรือ “Wax Bloom” เนื้อมีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว ด้านในผลมีเมล็ดแข็งอยู่ 1 เมล็ด[2]

ไหน





พลัม


  • เมล็ดพลัม เมล็ดเป็นเมล็ดเดี่ยวและแข็ง เมล็ดมีสีน้ำตาล


เมล็ดพลัม

          พลัมสามารถแบ่งตามการใช้ประโยชน์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ พลัมชนิดที่ใช้รับทานแบบสดๆ (ลูกพรุนสด) เหมือนผลไม้ทั่วไป ได้แก่พันธุ์กัลฟ์โกล พันธุ์กัลฟ์รูบี้ พันธุ์เหลืองบ้านหลวง และพันธุ์แดงบ้านหลวง และอีกชนิดคือพลัมสำหรับแปรรูป เช่น การนำมาทำเป็นแยมพลัม น้ำลูกพลัม นำมาดอง หรือนำแช่อิ่ม ได้แก่ พันธุ์จูหลี่[2]

คุณค่าทางโภชนาการของลูกพลัม ต่อ 100 กรัม
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

คุณค่าทางโภชนาการของลูกพรุนอบแห้ง ต่อ 100 กรัม
  • พลังงาน 240 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 63.88 กรัม
  • น้ำ 30.92 กรัมลูกพรุน
  • น้ำตาล 38.13 กรัม
  • เส้นใย 7.1 กรัม
  • ไขมัน 0.38 กรัม
  • โปรตีน 2.18 กรัม
  • วิตามินเอ 39 ไมโครกรัม 5%
  • เบต้าแคโรทีน 394 ไมโครกรัม 4%
  • ลูทีน และ ซีแซนทีน 148 ไมโครกรัม
  • วิตามินบี1 0.051 มิลลิกรัม 4%
  • วิตามินบี2 0.186 มิลลิกรัม 16%
  • วิตามินบี3 1.882 มิลลิกรัม 13%
  • วิตามินบี5 0.422 มิลลิกรัม 8%
  • วิตามินบี6 0.205 มิลลิกรัม 16%
  • วิตามินบี9 4 ไมโครกรัม 1%
  • โคลีน 10.1 มิลลิกรัม 2%น้ำลูกพรุน
  • วิตามินซี 0.6 มิลลิกรัม 1%
  • วิตามินอี 0.43 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินเค 59.5 ไมโครกรัม 57%
  • ธาตุแคลเซียม 43 มิลลิกรัม 4%
  • ธาตุเหล็ก 0.93 มิลลิกรัม 7%
  • ธาตุแมกนีเซียม 41 มิลลิกรัม 12%
  • ธาตุแมงกานีส 0.299 มิลลิกรัม 14%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 69 มิลลิกรัม 10%
  • ธาตุโพแทสเซียม 732 มิลลิกรัม 16%
  • ธาตุโซเดียม 2 มิลลิกรัม 0%
  • ธาตุสังกะสี 0.44 มิลลิกรัม 5%
  • ธาตุฟลูออไรด์ 4 ไมโครกรัม
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

ประโยชน์ของลูกพลัม
  1. ประโยชน์ลูกพรุน ช่วยในการชะลอวัย ชะลอความแก่ ป้องกันโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เพราะพรุนเป็นผลไม้ที่มีไขมันต่ำและมีสารอาหารสำคัญสูงอยู่หลายชนิด เช่น วิตามิน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต โพแทสเซียม[3],[4] ซึ่งกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้ระบุว่าผลไม้ที่ช่วยชะลอความแก่ได้ดีที่สุดคือ “ลูกพรุนแห้ง” หรือ “ลูกพรุนอบแห้ง” โดยสูงกว่าลูกเกด ส้ม แอปเปิ้ล ลูกแพร์ เกรปฟรุต บลูเบอร์รี ฯลฯ[4]
  2. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เนื่องจากลูกพรุนมีสารคริปโตคลอโรจีนิกในปริมาณมาก ซึ่งสารชนิดนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ ซึ่งงานวิจัยของ Tufts University in Boston ระบุให้พรุนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงเป็นอันดับ 1 โดยวัดจากค่า ORAC ของพรุน มี 5,770 หน่วย ต่อกรัม และยังสูงเป็น 2 เท่าของผลไม้ที่มีค่า ORAC อันดับต้นๆ[3]
  3. ช่วยป้องกันและต่อต้านมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ป้องกันดีเอ็นเอถูกทำลาย ช่วยลดการอักเสบและช่วยป้องกันมะเร็ง ด้วยการยับยั้งการกลายพันธุ์และสารก่อมะเร็ง เพราะพรุนมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิดและมีอยู่ในปริมาณมาก มีธาตุเหล็กและวิตามินเอ และมีปริมาณของสารโพลีฟีนอลสูงถึง 282-922 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ซึ่งสารโพลีฟีรอลที่พบมากในลูกพรุนคือ กรดไฮดรอกซีซินนามิก ที่อยู่ในรูปของกรดนีโอคลอโรเจนิก และกรดคลอโรจีนิก นอกจากนี้ยังมีโปรแอนโธไซยานิดิน และฟลาโวนอยด์พิกเมนต์ ดังนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์จากลูกพรุนเป็นประจำจะช่วยป้องกันมะเร็งได้ เป็นอย่างดี[3]
  4. ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ช่วยรักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยป้องกันไขมันไม่ให้ถูกทำลาย เนื่องจากเซลล์เมมเบรน เซลล์สมอง และโมเลกุลของคอเลสเตอรอลล้วนประกอบไปด้วยไขมันเป็นส่วนใหญ่ ที่ง่ายต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ[3]
  5. ลูกพรุนอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ที่มีความสำคัญในสร้างเม็ดเลือด ช่วยบำรุงเลือด ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง แก้อาการอ่อนเพลีย สมาธิสั้น การเรียนรู้ลดลง และช่วยในการดูดซึมของธาตุต่างๆ ในร่างกาย และยังช่วยในเรื่องของภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดไปกับประจำเดือนด้วย[3],[4]
  6. ลูกพรุนมีวิตามินอี ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ในร่างกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ยืดอายุของเม็ดเลือดแดง[5]
  7. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด (LDL)และช่วยลดระดับความดันโลหิต จึงให้ประโยชน์ต่อหลอดเลือดหัวใจ จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี[3],[5]
  8. พรุนมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำมาก จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้เป็นเบาหวาน และยังมีงานวิจัยที่ระบุว่าพรุนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้[3] แม้ว่าลูกพรุนจะมีความหวาน โดยประกอบไปด้วยน้ำตาลหลายชนิด เช่น ฟรุคโตต ซอร์บิทอล แต่ก็ไม่ทำให้ระดับของน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างเร็ว[5]
  9. การรับประทานลูกพรุนเป็นประจำในปริมาณมากจะช่วยในการลดน้ำหนักได้ เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ มีแคลอรีน้อย และยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ[3] อีกทั้งยังเส้นใยอาหารจำนวนมาก ที่เป็นทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และชนิดที่ลำลายน้ำไม่ได้ ที่มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้[5]
  10. ผลไม้ที่มีสีแดง-ม่วง เช่น แอปเปิ้ล องุ่น สตรอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี รวมไปถึงลูกพรุน จะเข้าไปช่วยบำรุงการทำงานของเซลล์สมอง หากใครอยากฉลาดก็ให้รับประทานผลไม้ที่มีสีนี้กันเยอะๆ[3]
  11. ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เพราะลูกพรุนมีวิตามินอีและแร่ธาตุที่ช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อยามเครียด[4]
  12. พรุนเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม การรับประทานลูกพรุนจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้[3]
  13. ช่วยบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น เนื่องจากลูกพรุนมีวิตามินที่ช่วยบำรุงตาในส่วนของจอรับภาพ และยังมีวิตามิบีที่ช่วยบำรุงเส้นประสาทที่เลี้ยงลูกตา[4],[5]
  14. ช่วยเสริมสร้างและบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง[2],[3] ช่วยทำให้กระดูกผุช้าลง โดยพบว่าสตรีที่รับประทานลูกพรุนแห้งวันละ 1 ขีด ต่อติดกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่ามีการสร้างมวลมากขึ้นอย่างชัดเจน[4]
  15. ช่วยป้องกันอาการท้องผูก เพราะพรุนมีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารและมีฤทธิ์ในการระบายท้อง จึงช่วยบำบัดอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย[3],[4]
  16. ลูกพรุนอุดมไปด้วยโพแทสเซียม วิตามินอี ธาตุเหล็ก และเส้นใยอาหาร ที่ทำช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผิวพรรณดูสดใส ทำให้ผิวพรรณดูเนียนนุ่มชุ่มชื้นไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร จึงช่วยคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว เพราะเมื่อคนเราเมื่อช่วงสดใสของชีวิต คือช่วงอายุประมาณ 25 ปี ร่างกายจะเสื่อมโทรมลง ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มก็จะเริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณก็เริ่มซีดโทรม ไขมันก็เริ่มเข้าไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ธาตุเหล็กที่มีมากในลูกพรุนจะช่วยดูในเรื่องนี้ได้[3],[5]
  17. ลูกพรุนมีวิตามินบี2 ที่นอกจากจะช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงแล้ว ยังช่วยในกระบวนการสร้างและช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวหนัง เล็บและผม[5]
  18. สำหรับผู้ที่เป็นตะคริวบ่อยๆ ควรรับประทานอาหารหรือผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ โดยหนึ่งในผลไม้ที่อุดมไปด้วยแคลเซียมนั้นก็คือ “ลูกพรุน[3]
  19. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนของสตรี เพราะลูกพรุนอุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่เป็นตัวช่วยควบคุมฮอร์โมนให้เป็นปกติ และช่วยบรรเทาอาการปวด แต่ต้องรับประทานก่อนมีอาการปวดประจำเดือนประมาณ 1-2 วัน[4]
  20. ช่วยลดอาการอักเสบและอาการเจ็บปวดต่างๆ[4]
ลูกไหนแดง
ข้อควรระวังในการรับประทานลูกพลัม
  • สำหรับคนทั่วไป ลูกพรุนหรือน้ำลูกพรุนมีฤทธิ์เป็นยาระบาย การรับประทานครั้งละมากๆ อาจทำให้ท้องเสียได้ ดังนั้นควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม คือครั้งละประมาณ 15-30 cc.[5]
  • สำหรับหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานลูกพรุนในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะลูกพรุนเป็นผลไม้ที่ช่วยให้ขับถ่ายง่าย อาจทำให้ถ่ายเยอะและส่งผลให้มดลูกบีบตัว กระตุ้นให้ลูกน้อยคลอดเร็วกว่ากำหนด[3]
  • น้ำลูกพรุนเข้มข้น จะค่อนข้างอันตรายสำหรับเด็ก และไม่แนะนำให้เด็กรับประทาน เนื่องจากมีแร่ธาตุสูงจนเกินไปสำหรับเด็ก และจะไปกระตุ้นระบบขับถ่าย เพราะขนาดผู้ใหญ่ที่กินแล้วก็จะมีฤทธิ์คล้ายกับยาถ่ายเลยทีเดียว แต่ถ้าลูกน้อยท้องผูกจริงๆ ก็ให้ใช้ น้ําลูกพรุน 1 ส่วน ผสมกับน้ำต้มสุก 1 ส่วน และให้ลูกกินประมาณ 1 ช้อนชา (สำหรับเด็กที่มีอายุ 5 เดือนขึ้นไป) และขอย้ำว่าต้องใช้ในกรณีที่มีอากาท้องผูกจริงๆ เท่านั้น[3]
  • ผู้ป่วยที่เป็นโรคไต หรือผู้ที่ต้องล้างไตอยู่เป็นประจำ รวมไปถึงผู้ที่มีอาการถ่ายเหลว หรือมีอาการของลำไส้ที่ไม่ปกติ ห้ามรับประทานลูกพรุนเป็นอันขาด เพราะอาจจะทำให้อาการที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้น เพราะลูกพรุนมีโพแทสเซียมสูง ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกจากร่างกาย ได้แบบที่ควรจะเป็น จึงทำให้โพแทสเซียมคั่งในเลือด ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า หัวใจเต้นอย่างผิดปกติ และอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้[4]
ลูกไหน
แหล่งอ้างอิง
  1. ธนาคารพันธุกรรมพืช 50 ปี สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.  อ้างอิงใน: สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร (โอฬาร ตัณฑวิรุฬห์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rdi.ku.ac.th.  [6 พ.ย. 2013].
  2. ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน).  อ้างอิงใน: กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th.  [6 พ.ย. 2013].
  3. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th.  [6 พ.ย. 2013].
  4. บทความเผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียง โดยสำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา.  ”หลากประโยชน์ของลูกพรุน”.  โดยนายสุดสายชล หอมทองภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.uniserv.buu.ac.th.  [6 พ.ย. 2013].
  5. วิชาการดอทคอม.  [ออนไลน์].  ”น้ำลูกพรุนมากคุณประโยชน์”.  เข้าถึงได้จาก: www.vcharkarn.com.  [6 พ.ย. 2013].
ภาพประกอบ : เว็บไซต์ flickr.com (by camillo.kokkodrillo, steffi’s, Sami Anttila, DarrenU, diggleken, Valter Jacinto | Portugal, Giancarlo Sibilio, celiorod, naturgucker.de, nutrinfo)
บทความนี้ถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นโดยเว็บไซต์ กรีนเนอรัลด์ ดอทคอม (www.greenerald.com)

ข้อมูลค้างเคียงเพิ่มเติม

ลูกไหนดำ




และลูกไหนแดง



           คุณค่าอาหาร สูงมาก อุดมไปด้วยไฟเบอร์ (เส้นใย) แมกนีเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี สำหรับสาวๆที่อยากลดน้ำหนักกินลูกพรุนเยอะๆจะดีมาก เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย และสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ อีกด้วย

           มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงอีกจำนวนมาก นอกจากนี้น้ำลูกพรุนยังเป็นอาหารที่วิตามินซี วิตามินอี แหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก และไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร น้ำลูกพรุนแม้จะมีรสหวานแต่ส่วนมากประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิด ฟลุคโตสและซอร์บิทอล ซึ่งไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังช่วยระบายและรักษาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัย

ขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูล

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น