Container Icon

ปลูกข่าตาแดง..ลงทุนครั้งเดียวเก็บเกี่ยวยาวนับ 10 ปี

ปลูกข่าตาแดง..ลงทุนครั้งเดียวเก็บเกี่ยวยาวนับ 10 ปี รายได้ดี๊ดี 40,000 - 100,000 บาท


ข่า ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่น่าจับตา เพราะเป็นพืชเครื่องเทศที่มีความนิยมสูงในการนำมาเป็นส่วนประกอบในหลากหลายเมนูอาหาร อีกทั้งเป็นพืชที่ทนแล้ง ต้านทานโรคได้ดี ปลูกและดูแลง่าย สรรพคุณมากมายตลาดต้องการสูง วันนี้ขอนำความรู้จากประสบการณ์ตรงของเกษตรกรรุ่นใหม่ คือ คุณเบียร์-ราชพฤกษ์ รักษาการณ์ ที่กล้าเปลี่ยนตัวเองจากวิศวกรและนักดนตรี มาเป็นเกษตรกรศึกษาเรื่องการปลูกข่าตาแดงอย่างจริงจังจนประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาเพียง 3 ปี สามารถสร้างรายได้จากการปลูกข่าตาแดงส่งตลาดและโรงงานเครื่องเทศได้กว่าปีละ 5 ล้านบาท

คุณเบียร์บอกว่า ข่าตาแดง เป็นข่าที่มีสีสวย เนื้อแน่นแห้งสนิท ไม่มีเสี้ยน เหมาะสำหรับนำไปบดเป็นข่าผงเพื่อจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศได้อย่างดี ที่สำคัญ ข่าตาแดงนี้ ลงทุนปลูกครั้งเดียวสามารถให้ผลผลิตได้ยาวนานต่อเนื่อง 10 ปี ถือเป็นข่าพื้นบ้านที่ปลูกง่าย แตกหน่อดี ให้ผลผลิตตลอดทั้งปีต่อเนื่อง อีกทั้งราคารับซื้อก็สูงและปรับขึ้นเรื่อยๆ สามารถสร้างรายได้ที่น่าพอใจให้กับเกษตรกรได้ดี ซึ่ง ข่าตาแดง ที่คุณเบียร์ปลูกนี้ ถือเป็นข่าปลอดสารพิษ มีวิธีการปลูกและดูแล ดังนี้

1.การเตรียมดิน

ข่าตาแดง เป็นพืชที่ชอบดินร่วนซุย ชอบดินชื้น แต่ไม่ชอบน้ำขัง หากพื้นที่ใดน้ำขังก็ต้องทำพื้นที่ให้เรียบเสมอกัน จากนั้นไถดะแล้วไถแปร ไถเปิดหน้าดินอย่างน้อย 50 เซนติเมตร โรยปุ๋ยขี้ไก่แกลบลงไปไร่ละ 1,000 กิโลกรัม แล้วไถกลบ เตรียมตากดินไว้ 7 วัน คลุมหน้าดินด้วยฟางข้าว 100 ก้อน/ไร่ เพื่อเป็นการป้องกันหญ้าไม่ให้เกิดขึ้น

2.การเตรียมต้นพันธุ์ข่าตาแดง

ใช้ต้นพันธุ์อายุ 1.6 ปีเท่านั้น เพราะทดลองแล้วว่าอายุข่าตาแดง ขนาดนี้เหมาะในการนำมาปลูก แตกแขนงดี แข็งแรง และมีตามาก นำมาแยกแง่ง ตัดใบ ตัดราก ออกให้หมด แล้วล้างให้สะอาด แล้วนำต้นพันธุ์ที่เตรียมแล้ว ไปแช่น้ำยาเร่งรากและน้ำยากันเชื้อรา ประมาณ 20 นาที ถ้าเหง้าไหนใหญ่เกินไปก็ตัดแบ่งออก บริเวณรอยแผลที่ตัดให้ทาด้วยปูนกินหมากตรงแผลจะช่วยป้องกันเชื้อราได้ จากนั้นนำไปเพาะชำในแกลบดำ หรือ ขุยมะพร้าว แล้วรดน้ำให้ชุ่ม รอรากงอกประมาณ 10-15 วัน หากท่านใดไม่อยากรอก็สามารถนำเหง้าข่าที่แช่น้ำยาแล้ว ลงปักดำปลูกได้ทันที



**ซึ่งพันธุ์ข่าที่คุณเบียร์แนะนำคือ ข่าดิน ที่รับซื้อจากชาวบ้านโดยตรง ซื้อมาแบบเหมากอ แล้วตัดให้ได้ความยาว 30 เซนติเมตร แล้วนำไปปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ ซึ่งข่าดินจะแข็งแรงกว่า และขยายพันธุ์ได้ดีกว่านั่นเอง

3.การปลูกข่า

ตามคำแนะนำของคุณเบียร์ จะมี 3 แบบ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่ต่างกัน แต่การลงทุนก็มีความแตกต่างเช่นกันดังนี้

แบบที่ 1 ใช้กิ่งพันธุ์ข่า 500 กิโลกรัม ลงปลูกหลุมละ 1 ต้น ได้ 2,350 กอ ระยะห่างในการปลูก 80x60 เซนติเมตร เก็บผลผลิตได้ 1,500 กิโลกรัม แบบนี้ใช้เงินลงทุนเฉพาะค่าพันธุ์ 15,000 บาท เมื่อขายข่าจะมีรายได้เท่ากับ 1,500x30 บาท เท่ากับ 45,000 บาท

แบบที่ 2 ใช้กิ่งพันธุ์ข่า 1,000 กิโลกรัม ลงปลูกหลุมละ 2 ต้น ได้ 2,350 กอ ระยะห่างในการปลูก 80x60 เซนติเมตร เก็บผลผลิตได้ 3,000 กิโลกรัม แบบนี้ใช้เงินลงทุนเฉพาะค่าพันธุ์ 30,000 บาท เมื่อขายข่า จะมีรายได้เท่ากับ 30,000x30 บาท เท่ากับ 90,000 บาท

แบบที่ 3 ใช้กิ่งพันธุ์ข่า 1,500 กิโลกรัม ลงปลูกหลุมละ 3 ต้น ได้ 1,500 กอ ระยะห่างในการปลูก 100x100 เซนติเมตร เก็บผลผลิตได้ 4,500 กิโลกรัม แบบนี้ใช้เงินลงทุนเฉพาะค่าพันธุ์ 45,000 บาท เมื่อขายข่าจะมีรายได้เท่ากับ 4,500 x 30 บาท เท่ากับ 135,000 บาท

การลงทุนพันธุ์ข่ากิโลกรัมละ 30 บาท การรับซื้อคืนในราคากิโลกรัมละ 30 บาท ซึ่งคุณเบียร์บอกว่า หากเกษตรกรท่านใดสนใจ ลงทุนปลูกข่าภายใต้การแนะนำตามแนวทางของคุณเบียร์นั้น คุณเบียร์ยินดีรับซื้อผลผลิตคืนให้ทุกคน ซึ่งราคารับซื้อนี้ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน เพราะลงทุนครั้งเดียว สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวครั้งแรกเมื่อข่าอายุครบ 8 เดือน จากนั้นนับต่อเนื่องอีกทุก 4-6 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตข่าได้ต่อเนื่องนาน 10 ปี โดยไม่ต้องลงทุนใหม่

การให้น้ำแปลงข่า

คุณเบียร์แนะนำง่ายๆ ดังนี้คือ ในรอบหนึ่งเดือน ให้น้ำข่า 2 ครั้ง คือ วันที่ 1 และ 16 โดยตื่นตีห้าฉีดพ่นให้ปุ๋ยทางใบแก่ต้นข่า จากนั้นเปิดน้ำใส่ให้แปลงข่าชุ่มโชกจนถึงประมาณเที่ยงวันก็หยุด จากนั้นก็ปล่อยให้น้ำหน้าดินค่อยๆ ซึมลงไปในแปลงข่าเอง พอวันที่ 16 ก็ทำเหมือนกันอีกรอบ หรือ สังเกตหน้าดิน หากยังชุ่มอยู่ไม่ต้องให้น้ำ หากหน้าดินแห้งก็ให้น้ำเพิ่มเติม

การให้ปุ๋ย

จากประสบการณ์ที่ศึกษาอย่างเข้าใจ ข่าตาแดง แนะนำให้ใช้เฉพาะปุ๋ยขี้ไก่แกลบเท่านั้น และเสริมด้วยปุ๋ยเคมีเล็กน้อย ด้วยระยะเวลาการเติบโต 8 เดือน ในช่วงเดือนที่ 1-4 ใช้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 ช่วงเดือนที่ 5-7 ให้ใช้สูตร 0-0-60 ใส่โดยโรยรอบกอข่า ระยะห่าง 10 เซนติเมตร เพราะรากฝอยจะออกมาหาปุ๋ยกินเอง เพียงเท่านี้ เอาใจใส่ตามคำแนะนำ ก็สามารถปลูกข่าตาแดง ให้ได้ผลผลิตดี ตรงตามความต้องการแน่นอน

การขุดข่า ล้างข่า บรรจุถุง

จะทำได้ง่ายมากเพราะดินมีแกลบอยู่มาก เมื่อขุดหัวข่าขึ้นมาแล้ว มาทำการตัด ด้วยการวัดระยะ หนึ่งกำมือแล้วตัด จากนั้นใช้สายยางฉีดน้ำล้างดินออกให้หมด เอาลงแช่น้ำสะอาดที่ผสมสารส้ม (น้ำสะอาด 100 ลิตร ใส่สารส้ม 1 ก้อนเท่าไข่ไก่ ) จะช่วยให้ข่าสดอยู่ได้หลายวัน จากนั้นบรรจุลงถุง ชั่งน้ำหนัก 10 กิโลกรัม เตรียมส่งจำหน่ายต่อไป


เคล็ดลับที่เกษตรกรควรรู้ คือ

ทุกครั้งที่เกษตรกรขุดข่าออกแล้ว ควรกลบหลุมข่าที่ขุดแล้วด้วยแกลบดำให้พูนเป็นหลังเต่าทั่วทั้งกอข่า จะช่วยให้ข่ามีสีสวย และทำให้ข่าขุดง่ายในคราวต่อๆ ไป

สำหรับเกษตรกรที่สนใจ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม หรือต้องการศึกษาดูงานติดต่อโดยตรงที่ คุณราชพฤกษ์ รักษาการ(คุณเบียร์) โทร. 092-470-2095 , 085-651-9648 หรือเชิญได้ที่สวนข่า บ้านหนองปลาหมอ ต.หนองปลาหมอ อ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น

ข้อมูล  : น.ส.ดุจน้ำทิพย์ พันธุ์ทอง . เจ้าหน้าที่ร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด จังหวัดขอนแก่น http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php

ขอบคุณข้อมูลจาก : มติชนออนไลน์

กล้วยน้ำว้ายักษ์

กล้วยน้ำว้ายักษ์




เป็นความบังเอิญเมื่อครั้งไปเยี่ยมญาติที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี หลังบ้านญาติมีกล้วยน้ำว้ากลายพันธุ์ ลำต้นสูงใหญ่ กล้วยแต่ละลูกมีขนาดใหญ่กว่ากล้วยน้ำว้าทั่วไปเท่าตัว เอาสายวัดขนาดรอบผล 8 นิ้ว ตัดลูกเอามาพิสูจน์รสชาติ ปรากฏว่ารสหวาน เนื้อแน่น เอาไปทำกล้วยเชื่อม กล้วยสีสวยเนื้อแน่นคล้ายสาเก 2


ด้วยกลัวว่ากล้วยน้ำว้ายักษ์ต้นนี้จะสูญพันธุ์ นางพัชนี ตุษยะเดช เกษตรกร ต.หนองปรือ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี จึงขุดหน่อพันธุ์ ให้อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ทำการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเนื้อเยื่อ ระหว่างรอผลความสำเร็จ ได้ศึกษาหาข้อมูลเรื่องตลาดและราคาตามตลาดค้าส่ง ได้ข้อมูล กล้วยสวน หวีใหญ่มีมากเท่าไรตลาดรับซื้อหมดให้ราคาหวีละ 30-70 บาท ราคาค่อนข้างดี

หลังเพาะเนื้อเยื่อสำเร็จ นำไปปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ ลงกล้วย 100 ต้น ปล่อยทิ้งขว้าง ปลูกกล้วยไม่ต้องลงทุนมาก ปุ๋ยก็ไม่ใส่ เหมือนทิ้งไว้ให้เทวดา เลี้ยง แค่ดูแลอย่าให้หญ้าขึ้นรก พื้นที่โปร่ง ลมถ่ายเทสะดวก ป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อราเพื่อ ให้ลูกกล้วยผิวสวยหลังจากกล้วย ออกเครือ ต้องตัดแต่งใบแห้งทิ้งให้ หมด เพราะไม่อย่างนั้นเวลาลมพัดใบจะไปสีทำให้กล้วยมีรอยดำ และควรดูแลรอบโคนต้นให้โล่งโปร่ง ป้องกันไม่ให้มีหนอนกอระบาด กับคอยหาไม้มาค้ำคอต้น ตอนกล้วยอายุได้ 9 เดือน เริ่มออกเครือต้องค้ำเพราะเครือจะใหญ่มาก ถ้าไม่ใช้ไม้ค้ำ กว่ากล้วยจะแก่ตัดขายได้ คอต้นต้องหักแน่ๆ เพราะกล้วยแค่ 3 ลูก หนัก 1 กก. เครือหนึ่งมีสิบกว่าหวี หวีหนึ่งมีสิบกว่าลูก รวมแล้วหนักร่วม 40-50 กก.
สำหรับรายได้จากการขายกล้วยยักษ์ พัชนี บอกว่า กล้วย 1 เครือ มี 10-13 หวี จะขายได้ประมาณ 400-530 บาท พื้นที่ 1 ไร่ ช่วยทำรายได้ 40,000-53,000 บาทต่อปี นอกจากขายลูกได้แล้ว ใบกล้วยน้ำว้ายักษ์มีขนาดใหญ่ขายได้ กก.ละ 60-80 บาท และหลังจากเห็นว่าปลูกกล้วยยักษ์รายได้งามไม่ต้องลงทุนมาก จึงขยายพื้นที่ปลูกออกไปอีก เอาหน่อกล้วยจากแปลงเดิมไปลงปลูกเพิ่มอีก 40 ไร่

ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐ


เทคนิคปลูกกล้วยน้ำว้า ให้ใหญ่ยักษ์

เทคนิคปลูกกล้วยน้ำว้า ให้ใหญ่ยักษ์



กล้วยน้ำว้า ปลูกไว้ดูสวยงาม และ อิ่มได้สะบายท้อง
  

ของกล้วยๆๆ     เราอาจได้ยินกันบ่อยครั้ง เราเองก็พูดบ่อยครั้ง แต่เราก็ไม่ได้คิดถึงต้นกำเนิดหรือต้นตอ ของคำคำนี้ ผมเองก็เพิ่งมาเข้าใจตอนที่ได้ปลูกกล้วย ไว้ดูเล่น และ ฆ่าเวลายามว่าง แต่สิ่งที่ได้เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี มันตอบแทนเกินที่จะลืมคุ้ม และจะลืมลงได้ เลยต้องมาเล่าสู่กันฟังครับ

วิธีการปลูก

                จริงๆๆ แล้ว ก็คงไม่ต้องมีวิธีการอะไรมากมาย แบบเป็นทางการกันนะครับ แค่เรามีที่ 1 X 1 ตารางเมตร ก็เพียงพอ ที่จะสามารถปลูกกล้วย ไว้เป็นไม้ประดับ สวยๆๆ ไว้โชว์ ให้หน้าบานได้แล้วครับ หลายท่านอ่านคงงง ว่าแค่ปลูกกล้วยทำไมถึงขั้นหน้าบานเชียวหรือ ทีแรกผมก็คิดอย่างทุกๆๆคน แต่ที่ทำให้หน้าาบานจริงๆๆเพราะ เพื่อนบ้านเรา ลูกค้า และคนที่ผ่านไปผ่านมา ก็ต้องหันมาร้องอูฮู้ และถามกันว่าทำไม่ใหญ่จัง พันธุ์อะไร เอามาจากไหน ขอหน่อ หรือขอซื้อหน่อได้ไหม

 

หลุมปลูก

             หลังจากเราเล็งที่ปลูก ได้ที่ประมาณ 1 X 1 ตารางเมตร เรียบร้อยแล้ว ก็ขุดหลุม ประมาณ 50 X 50 X 50 เซ็นติเมตร ( กว้าง X ยาว X สูง ) ถ้ามีปุ๋ยคอก ก็ใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมสัก 1 - 2 ถ้วยแกง เอาแบบง่ายๆๆเลยครับ หรือไม่มีปุ๋ยคอก ก็หาซื้อปุ๋ยชีวภาพมาใส่แทน 1-2 ถ้วย ก็ได้ครับ เท่านี้หลุมก็พร้อมแล้วครับ

หลุมปลูก
  

พันธุ์


           พันธุ์กล้วยผมเองก็เคยได้ยินมา มากมายหลายพันธุ์ เช่น มะลิอ่อง น้ำว้าขาว และอีกมากมาย แต่สวนตัวผม ไม่ได้คิดว่าไม่สำคัญ แต่คิดว่าพันธุ์กล้วยน้ำว้าบ้านๆที่เรามีกันอยู่ ทั้วทุกภาค ทุกบ้านก็ถือว่าดีพออยู่แล้ว แต่สำคัญที่เราจะดูแล ให้เขาเป็นกล้วยประดับรับ หน้าแขกของเราได้นั้น ถือเป็นการดูแลเอาใจใส่ มาที่ 1 ครับ แต่ถ้าไครอยู่ในเมือง ไม่สามารถหาเอาตาม บริเวณบ้านได้ ก็ให้หาซื้อ หรือขอซื้อมาสัก 1 หน่อก็พอที่จะมาทำไม้ประดับ แบบหน้าบานอิ้มท้องกันแล้วครับ

  

หน่อเพิ่งเริ่มปลูก

การดูแลบำรุงรักษา

                            เท่านี้ก็ปลูกเรียบร้อยครับ ที่นี้ก็อยู่ที่การดูแลแล้วครับ แต่สวนผมคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่จะมีความสุขที่สุด เพราะเราจะได้คอยดูมันแตกใบ แตกหน่อ แล้วก็โตวันโตคืน พอเริ่มปลูกอาทิตเดียวใบก็จะเริ่มแตก แล้วก็เริ่มโตแต่ก็เป้นช่วงที่สำคัญครับดังนั้นผมจะจัดเป็นลำดับการดูแล รักษาดังนี้นะครับ

1.การรดน้ำ  ให้รดน้ำทุก 2 - 3 วัน แต่ถ้าฝนตกเราก็งดการรดน้ำ นอกจากนี้กล้วยก็ยังเป็นพืชที่ เจริญเติบโต ในเขตภูมิประเทศบ้านเราได้ดีอยู่แล้ว หากขาดการดูแลรักษา หรือ จะไปธุระสักอาทิตสองอาทิต ก็ยังอยู่ได้สะบายๆ โดยเราไม่ต้องเป็นห่วง

2.การใส่ปุ๋ย  จริงๆๆ แล้ว ปุ๋ยอะไรก็ได้นะครับ แล้วแต่เท่าที่เราจะสะดวก หาซื้อง่ายใกล้มือ ก็เอาเป็นว่าถ้าเราใส่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยคอก ปุ๋ยชีวภาพ ก็ให้ใช้อัตราการใส่ปุ๋ย 1 กิโลกรัม ต้น/ปี แบ่งใส่ 3 เดือนครั้ง ครั้งละ 250 กรัม แต่ถ้าจะ ใส่มากกว่านั้นก็ไม่ว่ากัน เอาขั้นต่ำไปแล้วกันนะครับ
2.1 ใส่ปุ๋ยหลังปลูก 1 สัปดาห์ ปุ๋ยหมัก ชีวภาพ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยเคมีโดยใช้สูตร 15-15-15

2.2 ใส่ปุ๋ยหลังครั้งที่ 1 ประมาณ 3 เดือน ปุ๋ยหมัก ชีวภาพ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยเคมีโดยใช้สูตร 15-15-15

2.3 ใส่ปุ๋ยหลังครั้งที่ 2 ประมาณ 3 เดือน ปุ๋ยหมัก ชีวภาพ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยเคมีโดยใช้สูตร 15-15-15

2.4 ใส่ปุ๋ยหลังครั้งที่ 3 ประมาณ 3 เดือน ปุ๋ยหมัก ชีวภาพ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยเคมีโดยใช้สูตร 13-13-21

สับต้นเก่าที่ตัดเครือทำปุ๋ยพืชสด

2.5 ปุ๋ยพืชสด เมื่อกล้วยออกเครือจนเราสามมารถตัดได้ เราก็นำต้นเก่า มาสับให้เป็นชินเล็กๆ แล้วมาใส่ก็จะมีขอดีตรงที่เราจะได้ ช้วยป้องกันความชื่น และในระยะยาวยังเป็นปุ๋ยให้กับต้นใหม่อีกด้วย

3.การตัดแต่งหน่อ และ ใบแก่  
             การไว้หน่อ และ การตัดแต่งหน่อก็มีความสำคัญในการปลูกกล้วยมากครับเพราะจะให้ต้นโต หรือ ต้นสมบูรณ์ดี พร้อมส่งผลไปถึง ลูก หรือ เครือกล้วยด้วย  หากเราไม่ตัดแต่งหน่อกล้วยออกทิ้ง ก็จะกลายเป็นกล้วยแคระแกรนไปเลยก็ได้
                   3.1 การตัดแต่งหน่อ   ให้ตัดแต่หน่อกล้วยที่ขึ้นมาในทุกๆช่วง อยู่ตลอด หากยังไม่ถึงช่วงการไว้หน่อ
                   3.2 การตัดแต่งใบกล้วยที่ เหลืองเกิน 50 % ทิ้งไป พร้อมทั้งตัดใบที่งอหักลงไปด้วย เท่านี้ก็จะทำให้ ต้นกล้วยของเราดูไม่รกรุงรัง และ ดูสวยงามอีกด้วย 


การตัดแต่งใบกล้วย

                   3.2 การไว้หน่อกล้วย  เราจะไว้หน่อแรก เมื่อกล้วยของเราอายุ 4 เดือนไปแล้ว และ หน่อต่อๆๆไปทุก 4 เดือน   แต่ในช่วงการออก ปลีกล้วยเราจะงด การไว้หน่อ เพื่อให้ผลกล้วย และ เครือสมบูรณ์ดี   
            
    
                             ไว้หน่อแค่ 3-4 หน่อต่อกอ             เครือเก่าสุก เครือใหม่ก็ออกมาพอดี
   
                   
การตัดปลี

                          เมื่อปลีกล้วยแทงเครือออก มาจนเราเห็นวาเครือกล้วยที่สมบุรณ์ หมดแล้ว ให้เราตัดปลี จากหวีสุดท้ายนับไปอีก 1 -2 หวีแล้วก็ตัด เราจะได้ไว้ใช้จับ ตอนเราตัดเครือกล้วย และ ใช้ปูนแดงหรือยากันราทา เพื่อป้องกัน การเน่า

                                                               
ตัดปลีตรงหวีที่ 14 เพราะลูกลีบเล็ก                                          เครือนี้ยังออกได้อีก เพราะปลียังใหญ่มาก

  
โรค และ แมลง
       โดยรวมแล้ว โรค ในกล้วยก็จะมีน้อยมาก ที่โรคหลัก ในที่ปลูกกล้วยมาก ก็จะเจอ โรคไฟทอปโทร่า หรือ ที่เรียกเชื้อไฟทอปโทร่า  อาจทำให้ราก เน่า โคนเน่า ใบเหลืองแห้ง หรือที่เรียกว่าตายพราย และ ก็มีหนอนม้วนใบ แต่ในที่นี้ผมจะไม่กล้าวถึง เพราะเราปลูกไม่มาก แค่ปลูกสวยงาม และ หลักๆๆแล้วถ้าเราดูแลจนสมบูรณ์โรค ก็เข้าทำลายได้ยากมาก ( การกำจัดโรคเชื้อไฟทอปโทร่า ผมจะนำมาลงในบล๊อคต่อไปนะครับ เพราะผมคิดว่าผมมีของดีที่ เป็นเพชฆาต ซึ่งเป็นคู่ปรับ กันแบบเอาอยู่ทีเดียว ไว้ติดตามกันนะครับ )

ชื่นชมกับความสำเร็จ

         เพียงเท่านี้เราก็จะได้กล้วยน้ำว้า แบบสวยงาม และ ไว้โชว์หน้าบ้าน หน้าร้าน หรือคนที่เรารู้จัก นอกจากนี้ก็ยัง ใช้เป็นของฝาก ที่มีความตั้งใจจริง เพราะต้องดูแล กว่าจะได้มาซึ่งของฝาก พร้อมทั้งหน้าบานเหมือนที่ผมได้กล่าวข้างต้น พร้อมทั้งยังได้เพื่อนข้างๆบ้านเราไว้ดูแลบ้านเราด้วย ดังนั้นผมจึงเอาภาพ และ สถิติ กล้วยน้ำว้าของผมที่ปลูกหน้าร้านมาฝากกันครับ

 

เมือครบปีสิ่งที่ได้ก็มีผลให้เราดูกัน และ ก็ไว้โชว์ทุกคน





และแล้วก็ถึงเวลาตัดทั้งหมด 13 หวีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม

ตลาดกล้วย

                 พอเห็นผลก็นึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องตลาด ปัจจุบัญตลาดมีความต้องการคอนข้างสูง เพราะเนื้องจากปี พ.ศ.2554 ทุกคนก็ทราบดีว่าเกิดน้ำท่วมใหญ่ เลยทำให้แหล่งปลูกกล้วยภาคกลาง เกิดน้ำท่วมและกล้วยตายเกิบหมด รวมทั้งความต้องการทางการตลาดของกล้วยน้ำว้า ในการนำไปทำขนม เลี้ยงนก และ สัตว์ต่างๆอีกหลายชนิด ทำให้ราคาคอนข้างสูง
  • ราคาขายส่งหวีละ 17 - 20 บาท
  • ราคาขายปลีก 25 - 30 บาท
               แต่ท่านที่ปลูกสนุกๆๆ เอาสวยงาม ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องตลาดอยู่แล้วครับ  ส่วนของผมงวดนี้ เครือนี้ ให้ผลมา 13 หวี แจกเพื่อนบ้าน กับ ทานเอง 5 หวี มีคนมาเหมาหมด 7 หวี คูณ 20 บาท ยังได้ค่าปุ๋ย กับ ค้าน้ำคืนมา 140 สะบายๆเลยครับ


         หวีนี้ 20 ลูก เต็มๆเลยครับ 

                          

หวีใหญ่มาก เอาไม้บรรนทัดมาวัดให้เห็นกันจะๆ



วัดกันให้ดูอีกครับว่ายาวเท่าไหร่







          เอาเชือกมาวัดความกว้าง หรือเส้นรอบวงกันครับ    เส้นรอบวงยาวถึง 16 ซม.หนัก 150 กรัม


ตัดสินใจ

              ดูกันแล้วก็ลองตัดสินใจ มาปลูกกล้วยน้ำว้า หรือว่าชอบกล้วยอะไร ก็ลองปลูกกันเล่นๆดูนะครับ เอาสวยงาม โชว์ เป็นอาหาร หรือเป็นของฝาก แค่กล้วยๆ ก็ลองปลูกดูครับ เวลา 1 ปีอาจมีค้ามากกว่าที่คิด ขอให้สนุกกับ การปลูก
กลัวยกันนะครับ


อ้างอิงที่มา: http://nomvaguru.blogspot.com

ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวสายพันธุ์ใหม่

ข้าวไรซ์เบอรี่


          ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวสายพันธุ์ใหม่สีสันแปลกตา ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มาลองดูกันสิว่า สรรพคุณและประโยชน์ ไรซ์เบอร์รีมีอะไรบ้าง

          ข้าวไรซ์เบอร์รี คงเป็นคำที่แปลกใหม่สำหรับหลาย ๆ คน ซึ่งตอนนี้กำลังกลายเป็นเทรนด์อาหารเพื่อคนรักสุขภาพที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ไรซ์เบอร์รีก็คือข้าวสายพันธุ์หนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย และวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับไรซ์เบอร์รีกันให้มากขึ้น มาดูกันสิว่า ข้าวสายพันธุ์นี้มีอะไรดีที่ทำให้เราไม่ควรพลาด

ข้าวไรซ์เบอร์รี อาหารดี ๆ เปี่ยมคุณค่า

          ข้าวไรซ์เบอร์รีเป็นข้าวที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์โดยการผสมเลียนแบบธรรมชาติ ระหว่างข้าวสองพันธุ์ ได้แก่ ข้าวเจ้าหอมนิล และข้าวขาวดอกมะลิ 105 หลังจากนั้นจึงคัดเลือกโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพจนได้พันธุ์ข้าวที่มีความบริสุทธิ์ จากการพัฒนาพันธุ์ข้าวพิเศษ ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และได้ยื่นจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ โดย รศ. ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ภาควิชาพืชไร่นา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ห้ามนำไปขยายพันธุ์เชิงการค้าต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก วช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

          ข้าวไรซ์เบอร์รีเป็นข้าวเจ้าสีม่วงเข้ม เมล็ดเรียวยาว ผิวมันวาว และถ้าหากเป็นข้าวกล้องก็จะมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ แถมยังมีรสชาติอมหวานกลมกล่อมชวนรับประทาน สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี โดยอายุเก็บเกี่ยวของข้าวสายพันธุ์นี้จะอยู่ที่ประมาณ 130 วัน ซึ่งให้ผลผลิตปานกลาง สามารถต้านทานต่อโรคไหม้ แต่ไม่ต้านทานโรคหลาว ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ทุกรอบของการปลูก นอกจากนี้รำข้าวและน้ำมันรำข้าวจากไรซ์เบอร์รียังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ดี ซึ่งทางการแพทย์นิยมนำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์อาหารโภชนบำบัดอีกด้วย


ข้าวไรซ์เบอรี่

คุณค่าทางโภชนาการของข้าวไรซ์เบอร์รี

           ค่าดัชนีน้ำตาลปานกลาง                   62
          ปริมาณอะไมโลส (amylose)            15.6 %
           อุณหภูมิแป้งสุก                            < 70         องศาเซลเซียส
          ธาตุเหล็ก                                   13-18        มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
          ธาตุสังกะสี                                  31.9          มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
          โอเมก้า 3                                   25.51       มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
          วิตามิน อี                                    678           ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม
          โฟเลต                                       48.1          ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม
          เบต้า-แคโรทีน                             63             ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม
          โพลีฟีนอล                                   113.5         มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
          แทนนิน                                       89.33        มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
           แกมมาโอไรซานอล                        462           ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม

ข้าวไรซ์เบอร์รี


ข้าวไรซ์เบอร์รี กับสรรพคุณและประโยชน์อันมหัศจรรย์

          ข้าวไรซ์เบอร์รี เป็นข้าวสายพันธุ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงร่างกาย และทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบที่ผิวหนัง ช่วยลดริ้วรอยและชะลอความแก่ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคสมองเสื่อมได้

          ข้าวไรซ์เบอร์รียังเป็นอาหารสุขภาพที่ดีต่อทุกเพศทุกวัย สามารถรับประทานเพื่อบำรุงสุขภาพและทดแทนข้าวขาวหรือข้าวกล้องปกติได้ โดยหากผู้สูงวัยรับประทานก็จะช่วยทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และช่วยบำรุงสายตาและระบบประสาทต่าง ๆ 

          ส่วนสตรีมีครรภ์หากรับประทานข้าวชนิดนี้ก็จะช่วยทำให้เด็กในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เด็กเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ช่วยควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดครรภ์เป็นพิษ และที่สำคัญยังมีธาตุเหล็กสูงเหมาะกับสตรีที่กำลังมีครรภ์ซึ่งต้องการแร่ธาตุชนิดนี้มากกว่าคนปกติค่ะ

          นอกจากนี้ข้าวไรซ์เบอร์รียังมีสรรพคุณช่วยควบคุมน้ำตาลและควบคุมน้ำหนักได้ เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอ้วนอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก หากรับประทานข้าวชนิดนี้เป็นประจำก็จะทำให้ได้ธาตุเหล็กซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อระบบเลือด และช่วยบำรุงโลหิตและร่างกายให้แข็งแรง

          ข้าวไรซ์เบอร์รียังมีคุณประโยชน์อีกมากมาย เพราะนอกจากแร่ธาตุต่าง ๆ ที่สำคัญต่อร่างกายแล้ว ข้าวชนิดนี้ยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วยค่ะ

ข้าวไรซ์เบอรี่

ข้าวไรซ์เบอร์รี หุงอย่างไรให้อร่อย

          ข้าวไรซ์เบอร์รีจัดเป็นข้าวกล้องชนิดหนึ่ง ดังนั้นหากต้องการหุงให้อร่อยก็ควรที่จะนำไปผสมกับข้าวหอมมะลิเพื่อให้ข้าวที่รับประทานเหนียวนุ่มมากขึ้น แต่ถ้าหากต้องการหุงข้าวชนิดนี้เพียงอย่างเดียวก็ควรจะใช้สัดส่วนดังนี้ค่ะ ข้าว 1 ส่วน : น้ำ  1.5 ส่วน โดยหุงต้มประมาณ 35 นาทีแล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ก็จะได้รับประทานข้าวไรซ์เบอร์รีที่นุ่มและมีสีสันน่ารับประทานค่ะ

          ข้าวไรซ์เบอร์รีเป็นธัญพืชที่ดีต่อสุขภาพจริง ๆ นะคะ ต้องชื่นชมนักวิจัยของไทยเราที่สามารถนำข้อดีของข้าวทั้งสองพันธุ์มาผสมกันจนได้ข้าวพันธุ์ใหม่อย่างไรซ์เบอร์รี ทำให้เราสามารถรับประทานข้าวที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหารแบบนี้ ดังนั้นถ้าหากใครที่กำลังมองหาธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงอยู่ละก็ อยากให้ลองข้าวไรซ์เบอร์รีดูนะคะ รับรองว่านอกจากคุณค่าอาหารที่ได้รับแล้ว ยังจะได้รับประทานข้าวที่อร่อยและเหนียวนุ่มอีกด้วยละค่ะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก : กระปุกดอทคอม 

การปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ในกระถาง