Container Icon

การเพาะต้นกล้าพันธุ์พืช

การเพาะต้นกล้าพันธุ์พืช 




การขยายพันธุ์พืชด้วยการเพาะเมล็ด
      
     การขยายพันธุ์พืช เป็นการเพิ่มจำนวนต้นพืชให้ได้จำนวนมากพอกับปริมาณความต้องการ โดยพืชต้นใหม่ที่ได้ยังคงลักษณะและสมบัติของพันธุ์ที่ดีไว้ หรืออาจได้พันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะผิดไปจากเดิม
     การขยายพันธุ์พืชแบ่งได้ 2 แบบคือ การขยายพันธุ์พืชแบบอาศัยเพศ ได้แก่ การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดและการขยายพันธุ์พืชแบบไม่อาศัยเพศ ได้แก่การขยายพันธุ์โดยใช้ส่วนต่าง ๆ ของต้นพืช เช่น ใช้การปักชำ การตอนกิ่ง การต่อกิ่ง การติดตา การทาบกิ่ง การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นต้น
     การขยายพันธุ์พืชแบบอาศัยเพศ เป็นการใช้เมล็ด ซึ่งเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียของพืชดอก จนเกิดการปฏิสนธิ รังไข่ของดอกจะเจริญเป็นผล ไข่หรือออวุลที่อยู่ในรังไข่จะเจริญเป็นเมล็ด และภายในของเมล็ดก็จะมีต้นอ่อนหรือเอมบริโอ เมื่อนำเมล็ดพืชมาเพาะต้นอ่อนก็จะงอกและเจริญเติบโต ได้พืชต้นใหม่ที่มีลักษณะเหมือนเดิมและมีจำนวนมากขึ้น
คำถาม
     - การปฏิสนธิของพืชดอก มีกระบวนการอย่างไร
     การเพาะเมล็ด เป็นวิธีที่มักใช้ในงานปลูกพืชที่ต้องการต้นพืชจำนวนไม่มากนัก เช่น ในการเพาะจำหน่ายพันธุ์ไม้ การปลูกผักสวนครัว ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นต้น การเพาะเมล็ดทำได้ทั้งในแปลงเพาะและในภาชนะเพาะ สำหรับการเพาะในภาชนะเพาะสามารถป้องกันมิให้ต้นพืชที่เพาะได้รับความเสียหาย ได้ง่าย วิธีนี้จำเป็นจะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ดังนี้
     1. ภาชนะและวัสดุที่ใช้เพาะ ภาชนะควรมีน้ำหนักเบา ไม่แตกหักหรือผุพังง่าย หาได้ง่ายและมีราคาถูก มีขนาดพอเหมาะที่จะหยิบยกได้สะดวก และมีรูระบายน้ำให้ไหลออกได้ง่าย โดยทั่วไปการเพาะเมล็ดในภาชนะมักจะใช้กระบะไม้หรือกระบะสำหรับเพาะ วัสดุที่ใช้เพาะหรือดินที่ใช้เพาะเมล็ดควรมีลักษณะดังนี้
          ก. ดินจะต้องโปร่ง และมีอากาศถ่ายเทดีอุ้มน้ำได้มากพอสมควร และระบายน้ำได้ง่าย
          ข. มีธาตุอาหารสำหรับพืชเพียงพอใช้ช่วงอายุของกล้าพืชตามปกติ คือ ประมาณ ๓๐-๔๕ วัน
          ค. เบาหรือค่อนข้างเบา สามารถเคลื่อนย้ายและหยิบยกได้สะดวก
          ง. ปราศจากโรค แมลง หรือสารอื่นใดที่เป็นพิษ
          จ. ไม่เป็นกรดหรือด่างจัด จนทำให้กล้าพืชไม่เจริญเท่าที่ควร
สำหรับวัสดุที่ใช้เพาะเมล็ด โดยทั่วไปมักจะใช้ดินซึ่งอาจนำมาจากหน้าดินใน แปลงปลูกพืช ดินขุยไผ่ ดินปุ๋ยหมักหรือใบไม้ผุ หรืออาจนำมาผสมกับวัตถุอื่นให้มีคุณสมบัติในการงอกของเมล็ดและการเจริญ ของกล้าพืชดียิ่งขึ้น หรืออาจใช้วัสดุสำเร็จรูปเช่น พีตมอส ในการเพาะ
     2. เมล็ดที่จะนำมาเพาะ ควรจะเป็นเมล็ดที่ได้จากต้นแม่ที่แข็งแรง เมล็ดสมบูรณ์ดีคือ เมล็ดเต่งและมีน้ำหนักดี เป็นเมล็ดที่ไม่อยู่ในระยะพักตัว งอกได้มาก หรือมีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง งอกได้เร็วและสม่ำเสมอ ไม่มีวัตถุอื่นเจือปนมากับเมล็ด เป็นเมล็ดที่ปราศจากเชื้อโรค หรือผ่านการคลุกยาฆ่าเชื้อโรคมาแล้ว
     3. วิธีเพาะเมล็ด เริ่มจากการบรรจุดินลงกระบะเพาะควรมีวัตถุช่วยระบายน้ำ เช่น เศษอิฐหัก เศษหิน เศษหญ้าแห้ง เปลือกถั่วลิสง ใยกาบมะพร้าวหรือแกลบดิบ ใส่รองที่ก้นภาชนะเพาะสูง ¼ - ½ นิ้วแล้วบรรจุดินที่ใช้เพาะให้เต็มภาชนะเพาะ ปรับหน้าดินเพาะให้เรียบ โดยให้ระดับหน้าดินเพาะต่ำกว่าขอบภาชนะเล็กน้อยเพื่อป้องกันการชะล้างหน้า ดินเนื่องจากรดน้ำมากเกินไป ความหนาของเนื้อดินที่ใช้เพาะควรหนาอย่างน้อย 3 นิ้ว จากนั้นจึงโรยเมล็ดพืชลงไปเป็นแถวในภาชนะเพาะหรือหลุมสำหรับเพาะเสร็จแล้ว จึงกลบด้วยดินที่ใช้เพาะ โดยไม่ควรกลบเมล็ดให้หนาเกิน 2-3 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของเมล็ด และหลังจากกลบดินทับเมล็ดแล้วควรจะกดดินให้พอกระชับเมล็ด เพื่อให้เมล็ดได้รับความชื้นและงอกได้สม่ำเสมอ จากนั้นจึงจะรดน้ำให้ชุ่ม
     
     เมื่อเมล็ดงอกเป็น ต้นกล้าแล้วต้องเลี้ยงดูกล้าพืชให้แข็งแรงพ้นจากการทำลายของโรคโคนเน่าคอดิน การดูแลรักษากล้าพืชในระยะแรกก็คือ เปิดให้ต้นกล้าได้รับแสงหลังจากงอกโผล่พ้นผิวดิน นอกจากแสงแล้วอุณหภูมิก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญของกล้าพืชอีกด้วย โดยปกติอุณหภูมิขนาดปานกลางถึงค่อนข้างต่ำจะช่วยให้กล้าพืชเจริญได้แข็งแรง รักษาระดับความชื้นให้พอเหมาะไม่มากเกินไปจนทำให้อากาศถ่ายเทในดินไม่สะดวก ซึ่งจะทำให้เกิดโรคโคนเน่าคอดินระบาดได้รวดเร็ว โดยทั่วไปขณะที่กล้าพืชยังเล็กอยู่ รากยังมีน้อย ควรจะรดน้ำทุกวัน เพื่อช่วยให้รากเจริญได้เร็วขึ้นแต่เมื่อกล้าเจริญได้ดีพอแล้ว อาจจะงดการให้น้ำได้บ้าง แต่ก็ควรให้แปลงเพาะชื้นอยู่เสมอ เมื่อกล้าพืชเจริญเติบโตพอสมควรจึงย้ายลงปลูกในกระถางก่อนหรือนำลงปลูกใน แปลงปลูกต่อไป

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น