มะขามป้อม
มะขามป้อมยักษ์อินเดีย มีอยู่ 4 สายพันธุ์ หรือ 4เบอร์ คือ
1. พันธุ์อินเดียเบอร์ 1หรือพันธุ์ อ -1 ลักษณะประจำพันธ์ คือ ใบเป็นใบประกอบเหมือนก้างปลาก้านใบยาว 30 – 50 ซม. ใบประกอบไม่ค่อยเป็นระเบียบ ผลกลมแป้นมีเส้นแบ่งกลีบผลชัดเจน จากขั้วผลจรดก้นผล เส้นแบ่งนี้จะบ่งบอกถึงจำนวนเมล็ดข้างในว่ามีกี่เมล็ด ขนาดผลโตที่สุด 4.5ซม. น้ำหนักเฉลี่ย 4.5 ซม. น้ำหนักเฉลี่ย 50 – 65 กรัม/ผล ทีลักษณะที่โดดเด่น คือให้ผลทะวายตลอดปี
2. พันธุ์อินเดียเบอร์ 2 หรือพันธุ์ อ – 2
ลักษณะประจำพันธุ์
ที่สังเกตุได้ง่าย คือ การเจริญเติบโตทางกิ่งก้าน เจริญเติบโตไวกว่าพันธุ์ อ – 1 ก้านใบจะยาวกว่าพันธุ์ อ – 1 คือ ก้านใบยาว 40 – 70 ซม. ใบประกอบจะเจริญเติบโตสม่ำเสมอกัน ก้านใบเป็นระเบียบสลับกันแบบลงตัวชัดเจน ใบเขียวเข้ม ผลกลมแป้น เส้นแบ่งกลีบผลเรียบ ขนาดผลโตเท่าๆ กับ อ – 1 ติดผลดกไม่ทวาย
3. พันธุ์อินเดียเบอร์ 3 หรือ อ – 3 ลักษณะประจำพันธุ์ที่สังเกตได้ ลักษณะต้นใบจะสั้นกว่า อ – 1 การเจริญเติบโตของต้นใบจะอ่อนพริ้ว ไม่เป็นระเบียบ ใบประกอบมีความสม่ำเสมอกว่า อ – 1 แต่ใบจะบอบบางกว่า ลักษณะผลกลมแป้น ผลโต 3.5 – 4 ซม. ติดผลดกจะไม่ทะวาย
มะขามป้อมยักษ์อินเดีย
ทั้ง 3 สายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์ที่ได้มาจากการเพาะเมล็ด มะขามป้อมอินเดียที่แม่ชีมาลี อิงดะวะระ ท่านนำมาจากประเทศอินเดียเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ปลูกไว้ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ให้ผลดกดีมาก โดยเฉพาะพันธุ์ อ – 1 จะมีผลทะวายตลอดทั้งปี แม่ชีท่านต้องนั่งร้านเก็บ มีผู้นำมาทดลองปลูกพันธุ์ อ – 1 เริ่มเอาไว้ผลประมาณปีเศษ ออกดอกชุดแรกๆ จะไม่ค่อยติดผลเท่าไหร่นัก จนเมื่ออายุมากขึ้นกิ่งเริ่มแก่จะเริ่มติดผลเยอะขึ้น ติดผลแรกๆ ประมาณ 100 กว่าลูก ประมาณ 5 – 6 กก.ติดต่อเนื่องกัน ตอนนี้ 2 ปีเศษ ต้นสูงประมาณ 4 เมตร ติดผลหนาตาน่าจะไม่ต่ำกว่า 20 กก.ต่อต้น การติดผลถือว่าเป็นที่น่าพอใจ สำหรับดินเหนียวไม่เหมาะเท่าไหร่ในการปลูก ถ้าเป็นดินร่วนทรายแห้งๆ ผลน่าจะดกดีมาก
ขณะนี้เราได้ค้นพบมะขามป้อมอินเดียยักษ์จริงๆ จากประเทศอินเดีย เมืองพารานาสี ซึ่งเป็นมะขามป้อมที่มีขนาดผลโตที่สุดของอินเดีย และก็มีอินเดียประเทศเดียวที่มีมะขามป้อมที่มีผลโตที่สุดประเทศเดียว เท่ากับว่าเราได้พันธุ์มะขามป้อมที่มีผลโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ แต่อย่าเพิ่งฟันธงเหนือฟ้ายังมีฟ้าก็ย่อมได้ เพราะผู้เขียนมีความปรารถนาที่อยากได้พันธุ์มะขามป้อมที่มีผลใหญ่และโตและให้ผลทะวายตลอดทั้งปี เพื่อให้เกษตรเรามีของเล่นชิ้นใหม่ๆ จะได้มีสีสันประดับวงการผลไม้ไทยเราอีกต้น หรืออีกชิ้นหนึ่ง ความเป็นมาของมะขามป้อมยักษ์อินเดียเบอร์ 4 ทะวายจัมโบ้หรือเรียกย่อว่า ( อ – 4 ทะวายจัมโบ้) ผู้เขียนอยากบอกว่าวัตถุประสงค์ที่ไปอินเดีย ในช่วงเวลาที่ไม่มีผลมะขามป้อมขายในท้องตลาด ก็เพื่อไปหาต้นพันธุ์ที่ให้ผลนอกฤดูจริงๆ และผลใหญ่จริงๆ และสมใจตามที่ได้อธิษฐานจิตใต้ต้นโพธ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ว่าให้ได้พันธุ์มะขามป้อมตามที่ได้ตั้งใจไว้ และก็ได้ไปพบตามที่ต้องการคือ เป็นต้นที่เจ้าของสวนปลูกไว้รวมกันเป็นสวนหลังบ้าน น่าจะประมาณเป็นร้อยปี มีอยู่ต้นเดียว ที่ให้ผลตลอดปี และผลใหญ่โตจริงๆ ผู้เขียนเอายอดพันธุ์มาขยายที่เมืองไทย และทดลองปลูกทั้งลงดินและปลูกในกระถาง เพื่อทดสอบการติดดอกติดผลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ลักษณะดีและเด่นของพันธุ์ อ – 4 ทะวาย คือ
1. ลักษณะการเจริญเติบโตทางกิ่ง – ก้านใบ แข็งแรงดีมาก ก้านใบจะยาว ตั้งแต่ 30 – 120 ซม. ใบประกอบเป็นระเบียบสม่ำเสมอสวยงาม
2. ออกดอกติดผลง่าย สังเกตจากการที่ปลูกลงกระถางจะมีดอกและติดผลง่าย ขนาดปลายใบยาวๆ ยังมีดอกและติดผลได้
3. ลักษณะผลกลมแป้นแบนกว่าพันธุ์ อ – 1 เส้นแบ่งกลีบผลไม่เด่นชัด คือ ผิวจะเรียบเนียนกว่า
4. ขนาดผลโตสุดที่ได้วัดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 ซม. ขนาดผลรองๆ อยู่ที่ 4.5 ซม.
5. น้ำหนักผลที่ใหญ่ที่สุด 75 กรัม/ผล น้ำหนักเฉลี่ย 50 – 75 กรัม/ผล คือ ประมาณ 14 – 17 ผล-กก.
6. เนื้อหนา กรอบนุ่ม รับประทานสดได้ สะดวกกว่าพันธุ์ไทย ซึ่งมีเนื้อแข็งกระด้างรับประทานยาก
7. จะเริ่มติดผลดกดีเมื่อมีอายุ 2 ปีขึ้นไป
8. ให้ผลทะวายได้ตลอดปี
วิธีปลูกและดูแลรักษามะขามป้อม
จริงๆ แล้วมะขามป้อมเป็นผลไม้เก่า ที่ใหญ่สำหรับเกษตรกรไทยจึงไม่ค่อยมีข้อมูล ในเชิงวิชาการ และประสบการณ์มากนัก มีเกษตรกรแถวกาญจนบุรีปลูกพันธุ์ไทยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ผู้ที่ได้ดีก็ไม่ค่อยเปิดเผยเคล็ดลับ เพราะมะขามป้อมไทยออกดอกปีละครั้ง ถ้าดูแลรักษาไม่ดีปีนั้นก็จะไม่ได้เงิน แต่พันธุ์อินเดีย อ- 1 และ อ – 4 จะไม่เหมือนกันเมื่อรุ่นนี้ติดน้อย รุ่นต่อไปก็จะออกตามมาอีกติดตามกันมาติดๆ
ขั้นตอนการดูแลรักษา
1. การเตรียมต้นกล้า ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ต้นพันธุ์ต้องได้จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพราะเราจะต้องเสียเงิน เสียเวลา และเสียความรู้สึก อย่างน้อยก็ 2 – 3 ปีกว่าจะเห็นผล
2. การเตรียมดิน ลักษณะดินที่ดี คือ ร่วนซุย มีชั้นดินลึก 50 – 70 ซม. บริเวณนั้นมีวัชพืชหรือต้นไม้ขึ้นงอกงาม แสดงว่าดินดี ขุดหลุม 50 * 50 ซม. ผสมปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ผสมกับดินที่ขุดขึ้นมา แล้วกลบลงในหลุมตามเดิม เว้นไว้พอให้ตุ้มที่ชำต้นลงไปได้ก็พอ
3. ระยะปลูก แล้วแต่เราจะเลือก เพราะต้นกล้าพันธุ์มะขามป้อมยักษ์อินเดีย ที่ได้จากการทาบกิ่งหรือติดตา อายุการให้ผลจะเร็ว คือ 2 – 3 ปี เราก็เอาไว้ผลได้ และยิ่งเป็นพันธุ์ อ – 1 และ
อ – 4 จัมโบ้ ที่มีผลตลอดปี เมื่อเราเลี้ยงผลแล้วจะติดผลต่อเนื่อง ทรงพุ่มจะไม่ใหญ่นัก ระยะปลูกอาจจะใช้ระยะ 3 * 6 เมตร ไร่หนึ่งจะปลูกได้ 88 ต้น เมื่อเก็บผลได้ 7 – 10 ปี ก็ตัดออกเสีย 1 ต้น เป็นระยะ 6 * 6 เท่ากับไร่หนึ่งเหลือ 44 ต้น ระยะนี้ก็อยู่ได้เป็นร้อยปี
4. การดูแลรักษามะขามป้อมแรกปลูก
4.1 การให้น้ำปลูกใหม่ๆ รดน้ำ วัน เว้น วัน เมื่อเข้าเดือนที่ 2 วัน เว้น 2 วัน หรือสังเกตดูความชื้นของหน้าดินที่โคนต้น
4.2 การให้ปุ๋ย ระยะหนึ่งปีแรก ใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เพื่อเร่งการเจริญเติบโตใช้ปุ๋ย สูตร
25 –7 –7 เริ่มให้ เมื่อปลูกลงดินสัก 2 อาทิตย์ ห่างกันสัก 3 อาทิตย์ / ครั้งๆ ละ 1 ช้อนชา ถึงอายุ 6 เดือน
4.3 การให้ปุ๋ย ระยะที่ 2 ใช้ปุ๋ย สูตรเสมอ 16 –16 –16 สลับกับ 25 -7 – 7 ให้ 3 อาทิตย์ ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ จนอายุครบ 2.5 ปี เมื่อเห็นว่าต้นเจริญเติบโตสมบูรณ์แข็งแรงพอ
4.4 ให้ปุ๋ยระยะที่ 3 คือ สูตรสะสมอาหาร และสร้างตาดอก สูตร 8 -24 -24 ครั้งละ 200 – 300 กรัม/ต้น/ครั้ง แล้วรดน้ำ 3 – 4 ครั้ง เพื่อให้ปุ๋ยละลายหมดแล้ว งดน้ำ 10 – 15 วัน ให้รู้สึกว่าใบเหลือง เริ่มร่วง และมีตาดอกแตกออกมาตามตากิ่งเต็มไปหมด เริ่มให้น้ำน้อยๆ หลังจากแทงตาดอก 20 – 25 วัน ดอกจะบานและเริ่มติดผลเล็ก ๆ ติดมากติดน้อย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ฝนตกขณะดอกบานจะติดไม่ดี โรคและแมลงก็เป็นปัจจัยลบได้เหมือนกัน
4.5 ให้ปุ๋ยระยะที่ 4 เมื่อติดผลเล็กๆ แล้วให้น้ำสม่ำเสมอ แล้วกลับมาใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16 –16 -16 เลี้ยงลูกจนกว่าจะเก็บได้ สรุปการใช้ปุ๋ย 25-7-7 , 16-16-16 , 8-24-24, ( 16-16-16 เอาสูตร 8-24-24 ตามท้ายก่อนเก็บผลสัก 1 เดือน จะทำให้รสชาดดี และที่จะละเลยเสียไม่ได้ พวกธาตุอาหารเสริม แคลเซียม โบรอน และธาตุอาหารทางใบ จะทำให้ได้คุณภาพดีเลิส
5. โรค มะขามป้อมเป็นผลไม้ป่าทนทานต่อโรคต่างๆ ได้ดีโดยธรรมชาติ แต่เมื่อเรานำมาปลูกเป็นแปลง มีการจัดการเรื่องปุ๋ยเรื่องน้ำอย่างดี อาจจะขาดสมดุลทางธรรมชาติ อาจจะอ่อนแอต่อเชื้อราบางชนิดได้ เท่าที่ผู้เขียนสังเกตดู ก็เห็นมีเชื้อราเข้าทำลายกิ่งที่ไม่สมบูรณ์บ้าง แต่ก็ไม่มาก แนวทางป้องกันคือ ฉีดพ่นสารกำจัดเชื้อราบ้างในช่วงฤดูฝน สารเคมีที่ใช้เป็นกลุ่ม คาเบ็นดาซิ
แอนทราโคล
6. แมลงศัตรูพืช มะขามป้อมมีแมลงรบกวนบ้างเล็กน้อย เช่น บางพื้นที่ จะมีด้วงปีกแข็งกัดกินใบในเวลากลางคืน และหนอนเจาะลำต้นหรือตามกิ่ง เมื่อติดดอกติดผลเล็กๆ จะมีพวกแมลงปากดูด พวกเพลี้ยไฟ ไรแดง เข้าแทะช่อดอก และผลเล็กๆ ดูดกินน้ำผึ้ง ทำให้ผล ลาย ไร้คุณภาพ วิธีป้องกันกำจัด โดยไม่ใช้สารเคมี ก็ใช้สารสกัดสมุนไพร จากพืช หรือน้ำส้มควันไม้ ฉีดป้องกันได้ แต่ถ้าระบาดก็ใช้สารเคมีฉีดพ่น คุม และฆ่า ในขณะเดียวกัน สารเคมีที่ใช้ คือ พวกแมลง ใช้สารคาร์บาริล ( เซฟวิน 85 ) แมลงปากดูด ก็ใช้กลุ่ม คาร์โบซัลแฟน (พอสซ์) ฉีดป้องกันและกำจัด
7. ระยะเวลาเก็บผลมะขามป้อมอินเดียยักษ์อินเดีย เมื่อเริ่มแทงช่อดอกยาว 3 – 5 ซม. อายุ 20 – 25 วัน จะเริ่มดอกบาน และผสมตัวเองตามธรรมชาติ และจะเริ่มติดผลเล็กๆ ตามมา ใช้เวลาอีก 6 – 7 เดือน จะเริ่มเก็บผลได้ แต่จะทยอยเก็บไปเรื่อยๆ มากบ้าง น้อยบ้าง ต้นมะขามป้อมที่ปลูกลงดินแล้ว อายุเป็นร้อยๆ ปี ปีแรกๆ อาจจะเก็บได้ 5 – 10 กิโลกรัม แต่ถ้า 10 ปีขึ้นไป ต้นหนึ่งเก็บได้เป็น 100 กิโลกรัม ขึ้นไป แต่ถ้า 20 ปี ก็จะมากขึ้น 300 – 500 กิโลกรัม/ต้น/ปี ถ้ากิโลกรัมละ 50 บาท คิดดูเอาเอง
8. ด้านการตลาด สำหรับมะขามป้อมยักษ์อินเดีย ขณะนี้มีคนที่คิดจะปลูกอยู่บ้างและลงปลูกไปแล้วก็มี แต่ยังเป็นรายเล็กๆ 100 – 200 ต้น ยังไม่มีผลออกมาวางขาย มีแต่พันธุ์ดั้งเดิม ผลเล็กกิโลกรัมละ 60 – 70 บาท ถ้าเป็นพันธุ์อินเดีย กิโลกรัมละ 200 –300 เขาก็จะแย่งกันซื้อหมด ท่านที่คิดจะปลูกอย่ารอช้า เพราะคนซื้อเขารออยู่ ตลาดไท สี่มุมเมือง มีแต่มะขามป้อมผลเล็กๆ มีคนถามหาแต่ผลโตๆ แม่ค้าขายส่งเขารอคุณอยู่ ดูรายละเอียดราคาต้นพันธุ์
สวน Thai G ไทยเซ็นทรัลการ์เด้น
คุณสุกัลยา เกิดโภคา
โทร. 089 – 1710545
Line ID : sukanyathaig
www.thaicentralgarden.com
Email : garden2508@gmail.com
มะขามป้อมยักษ์อินเดีย เบอร์1
มะขามป้อมปลูกไม่อยาก โดยเฉพาะพันธุ์ยักษ์อินเดีย ยิ่งแล้งยิ่งดก เพราะพืชไม้ผลชนิดนี้ เกิดอยู่ในภูมิประเทศที่ค่อนข้างร้อนและแล้งอยู่แล้ว
ปลูกมะขามป้อมช่วงระยะแรก ต้องคอยดูแลเรื่องน้ำ แต่เมื่อรากเดินดี รากแข็งแรงแล้ว ก็ไม่ต้องไปสนใจแล้วครับ เดี๋ยวรากเขาหากินเอง เพราะไม้พันธุ์นี้รากหากินเองเก่งอยู่แล้วครับ