กุ่มน้ําและกุ่มบก
กุ่มน้ำจะมีสรรพคุณสูงกว่ากุ่มบกนิดหนึ่ง
แต่สวรรค์ช่างสรรสร้างพืชอาหารไว้เป็นยาธรรมชาติให้มนุษย์อย่างมากมาย
คนสมัยโบราณเรียนรู้มาทำเป็นอาหารได้อย่างเหลือเชื่อ..
กุ่มน้ำ ชื่อสามัญ Crataeva กุ่มน้ำ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Crataeva magna (Lour.) DC.[1] หรือ Crateva
religiosa Ham.[2]
หรือ Crateva religiosa G.Forst.[7]จัดอยู่ในวงศ์ CAPPARACEAE เช่นเดียวกับกุ่มบก
และผักเสี้ยนผี
สมุนไพรกุ่มน้ำ ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกเช่น เหาะเถาะ (กาญจนบุรี),
อำเภอ
(สุพรรณบุรี, ภาคตะวันตกเฉียงใต้), ผักกุ่ม ก่าม ผักก่าม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ),
รอถะ
(ละว้า-เชียงใหม่, ภาคเหนือ), กุ่มน้ำ (ภาคกลาง), ด่อด้า (ปะหล่อง) เป็นต้น[1],[2]
ลักษณะของกุ่มน้ำ
ต้นกุ่มน้ำ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง
มีความสูงประมาณ 5-20 เมตร[1] เปลือกต้นค่อนข้างเรียบมีสีเทา
จะผลัดใบร่วงหมดทั้งต้นเมื่อออกดอก มักพบได้ตามริมแม่น้ำ ข้างลำธาร หรือที่ชื้นฉะ
ในป่าเบญจพรรณ[2] หรือพบได้ตามริมน้ำลำธารในป่าดิบแล้งและป่าผลัดใบ
ที่มีความสูงระดับ 30-700 เมตรกุ่มน้ำ[1] ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การปักชำ
และการตอนกิ่ง[6]
ใบกุ่มน้ำ มีใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ
แผ่นใบค่อนข้างหนาสีเขียวเป็นมัน ด้านล่างใบมีสีอ่อนกว่าด้านบน มีใบย่อย 3 ใบ
ก้านใบประกอบมีความประมาณ 4-14 เซนติเมตร หูใบเล็ก ร่วงได้ง่าย ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปใบหอกหรือขอบขนาน
มีความกว้างประมาณ 1.5-6.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4.5-18 เซนติเมตร ปลายค่อยๆ
เรียวแหลม มีความยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร โคนสอบ
ใบย่อยที่อยู่ด้านข้างโคนใบจะเบี้ยวเล็กน้อย ใบย่อยไม่มีก้าน
หรือถ้ามีก็ยาวไม่เกิน 5 มิลลิเมตร ใบกุ่มน้ำมีเส้นแขนงของใบข้างละประมาณ 9-20
เส้น และอาจมีถึงข้างละ 22 เส้น เส้นใบสามารถมองเห็นได้ชัดจากด้านล่าง
เมื่อใบแห้งจะมีสีค่อนข้างแดง[1]
ดอกกุ่มน้ำ ออกดอกเป็นช่อแบบกระจะถี่ ออกตามยอด หนึ่งช่อมีดอกหายดอก
ก้านดอกยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายแหลม กว้างประมาณ
2 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 2-4 มิลลิเมตร กลีบดอกกุ่มน้ำมีสีขาว แล้วจะค่อยๆ
เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ใบมีลักษณะค่อนข้างกลมถึงรี มีความกว้างประมาณ 1-2.5
เซนติเมตร ส่วนก้านชูอับเรณูจะมีความประมาณ 3.5-6.5 เซนติเมตร และอับเรณูจะยาวประมาณ
2-3 มิลลิเมตร และก้านชูเกสรตัวเมียจะยาวประมาณ 3.5-8 เซนติเมตร
ดอกมีรังไข่เป็นรูปรีหรือรูปทรงกระบอก มีอยู่ 1 ช่อง[1]
มักออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน[2]
ลูกกุ่มน้ำ หรือ ผลกุ่มน้ำ ลักษณะของผลเป็นรูปกลมรี มีเปลือกหนา
ผลหรือเปลือกผลมีสีนวลหรือสีเหลืองอมเทา เมื่อสุกจะเป็นสีเทา ผลแก่ผิวจะเรียบ
ผลกว้างประมาณ 1.5-4.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร ก้านผลยาวประมาณ 8-13
เซนติเมตร ก้านหนาประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ด้านในผลมีเมล็ดมาก[1]
เมล็ดกุ่มน้ำ มีลักษณะเป็นรูปเกือกม้า มีขนาดกว้างและยาวเท่าๆ กันคือประมาณ
6-9 มิลลิเมตร และเมล็ดมีสีน้ำตาลเข้ม[1]
สรรพคุณของกุ่มน้ำ
เปลือกต้น ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงร่างกาย (เปลือกต้น)[2]
แก่น ใช้ต้มกับน้ำดื่ม สรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง (แก่น)[2]
รากและเปลือกต้นกุ่มน้ำ สรรพคุณใช้เป็นยาบำรุงกำลังของสตรีได้[6]
รากใช้แช่น้ำกิน เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ราก,ใบ)[2]
สรรพคุณสมุนไพรกุ่มน้ำ ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ใบ)[2],[4]
ช่วยแก้กษัย แก้ในกองลม หรือต้มเป็นยาตัดลมในลำไส้ (เปลือกต้น)[2]
กุ่มน้ํา สรรพคุณช่วยแก้ลมขึ้นเบื้องสูง (ใบ)[2]
สรรพคุณกุ่มน้ำ ช่วยแก้ไข้[1] (ผล,ใบ)[2] (เปลือกต้น)[2],[5]
เปลือกต้นใช้เป็นยาช่วยแก้อาเจียน (เปลือกต้น)[2],[4]
ดอกกุ่มบก มีรสเย็นสรรพคุณช่วยแก้อาการเจ็บในตา (ดอก)[2]
ช่วยแก้ลมทำให้เรอ (เปลือกต้น)[2]
ใบ มีรสหอมขม สรรพคุณช่วยขับเหงื่อ (ใบ[1],[2], เปลือกต้น[2])
ช่วยแก้อาการเจ็บตา (ดอก)[1]
ช่วยแก้อาการเจ็บในลำคอ (ดอก)[1],[2]
ช่วยแก้อาการสะอึก (ใบ)[1],[2] หรือจะใช้เปลือกต้นผสมกับเปลือกกุ่มบก
เปลือกทองหลางใบมน ใช้ต้มเป็นน้ำดื่มแก้อาการก็ได้ (เปลือกต้น)[2]
สรรพคุณกุ่มน้ํา รากช่วยแก้อาการปวดท้อง (ราก)[3]
เปลือกต้นมีรสขมหอม สรรพคุณช่วยขับผายลม หรือใช้เป็นยาขับลม
ด้วยการใช้เปลือกต้นกุ่มน้ำผสมกับเปลือกกุ่มบก เปลือกทองหลางใบมน
แล้วนำมาต้มน้ำดื่ม (เปลือกต้น,ใบ)[2]
ใบกุ่มน้ำ สรรพคุณใช้เป็นยาระบาย (ใบ[2],[4], เปลือกต้น[5])
กุ่มน้ํา สรรพคุณช่วยขับพยาธิ (ใบ[2], เปลือกต้น[5])
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ใบ[1], กระพี้[2])
ช่วยแก้ริดสีดวงผอมแห้ง (เปลือกต้น)[2]
แก่นมีรสร้อน สรรพคุณช่วยแก้นิ่ว (แก่น)[1],[2]
ช่วยขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะ (เปลือกต้น)[2]
ช่วยขับน้ำดี (เปลือกต้น)[2]
ช่วยขับน้ำเหลืองเสียในร่างกาย (เปลือกต้น)[2]
กุ่มน้ำ สรรพคุณของรากช่วยขับหนอง (ราก)[1]
เปลือกต้นใช้เป็นยาช่วยระงับพิษที่ผิวหนัง (เปลือกต้น)[2],[5]
ช่วยแก้อาการครั่นเนื้อครั่นตัว (ดอก)[2]
ช่วยแก้อาการปวดเส้น (ใบ)[2]
แก่นกุ่มบก ใช้ต้มดื่มช่วยแก้อาการปวดเมื่อยได้ (แก่น)[2]
เปลือกต้น ใช้ทำเป็นยาลูกกลอน สรรพคุณช่วยแก้อัมพฤกษ์ อัมพาตได้
(เปลือกต้น)[2]
ใบกุ่มน้ำ สรรพคุณแก้โรคไขข้ออักเสบ แก้อัมพาต (ใบ)[2]
ใบใช้เป็นยาทาภายนอกเป็นยาถูนวดให้เลือดมาเลี้ยงให้ทั่วบริเวณที่นวด
(ใบ)[7]
คำแนะนำในการใช้สมุนไพรกุ่มน้ำ
กุ่มน้ํา กิ่งและใบมีสารไฮโดรเจนไซยาไนด์เป็นพิษ
ไม่ควรใช้รับประทานสดๆ แต่ควรทำให้สุกก่อน
ด้วยการนำมาดองหรือต้มเพื่อกำจัดพิษก่อนนำมารับประทาน[2]
ใบแก่มีพิษ มีฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนโลหิต ทำให้อาเจียน มึนงง
ไม่รู้สึกตัว มีอาการหายใจลำบาก กล้ามเนื้ออ่อนเปรี้ย กระตุก ชักก่อนจะหมดสติ
หากได้รับในปริมาณมาก อาจเกิดอาการรุนแรงได้ภายใน 10-15 นาที
แต่ถ้าหากใช้ในปริมาณเล็กน้อยจะมีสรรพคุณเป็นยาระบาย[6]
ประโยชน์กุ่มน้ำ
ยอดอ่อนใช้ปรุงเป็นอาหารไว้รับประทานได้ ด้วยการนำมาดองน้ำเกลือตากแดด
ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน แล้วค่อยนำไปปรุงเป็นอาหาร ด้วยวิธีการแกงหรือการผัดก็ได้[2]
หรือจะใช้ดอกและใบอ่อนนำไปดองหรือต้มใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริก[5]
หรือจะไปปรุงเป็นอาหาร
เช่น ทำอ่อม คล้ายกับแกงขี้เหล็กก็ได้[6]
เนื่องจากใบและดอกกุ่มน้ำมีความสวย จึงสามารถใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ
โดยเหมาะสำหรับบ้านเรือนที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง และทนต่อน้ำท่วมขังได้ดี[5]
ต้นกุ่มน้ำ เป็นไม้โตเร็ว มีรากลึกและแผ่กว้าง
เหมาะสำหรับปลูกไว้ตามริมตลิ่งชายน้ำในแนวสูงกว่าระดับน้ำปกติในช่วงฤดูฝน
หรือปลูกไว้ตามริมห้วยในพื้นที่ต้นน้ำ ของแม่น้ำสายหลัก
จะสามารถช่วยลดการกัดเซาะริมตลิ่งได้เป็นอย่างดี และยังทนทานต่อน้ำท่วมขังอีกด้วย[6]
นอกจากปลูกต้นกุ่มไว้รับประทานเป็นอาหารและใช้เป็นยาสมุนไพรแล้ว
ต้นกุ่มยังจัดเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกกันในอดีต
ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ครอบครัวมีฐานะ มีเงินเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนชื่อของต้นกุ่ม[3]
ไม้กุ่มน้ำ เป็นไม้เนื้ออ่อน จึงสามารถนำมาใช้ในงานแกะสลักต่างๆ ได้
เช่น เครื่องดนตรี เป็นต้น[6]
ประโยชน์ของกุ่มน้ำ ลำต้นกุ่มน้ำ สามารถนำมาใช้ทำเป็นไหข้าวได้
(คนเมือง)[7]
คุณค่าทางโภชนาการของผักกุ่มดอง ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 88 กิโลแคลอรี่
คาร์โบไฮเดรต 15.7 กรัม
โปรตีน 3.4 กรัม
เส้นใย 4.9 กรัม
ไขมัน 1.3 กรัม
น้ำ 73.4 กรัม
วิตามินเอ 6,083 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.08 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.25 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.5 มิลลิกรัม
วิตามินซี 5 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 124 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 5.3 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม
ข้อมูลจาก : กองโภชนาการ กรมอนามัย. 2530. ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยในส่วนที่กินได้
100 กรัม.
48 หน้า.[8]